โรคโควิด-19 (COVID-19) 

โรคโควิด-19 (COVID-19) หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019

โรคโควิด-19 (COVID-19) หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นโรคที่เริ่มระบาดในช่วงเดือนธันวาคมปี 2019 โดยเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า SARS-CoV-2 ซึ่งมีต้นตอการพบเชื้อครั้งแรกที่ตลาดอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และแพร่ระบาดสู่ประเทศอื่นๆ อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีการพบผู้ติดเชื้อในเกือบทุกประเทศทั่วโลก

ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนามากกว่า 199 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 4 ล้านคน จาก 220 ประเทศ นับเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก

ไวรัสโคโรนา (Coronaviruses หรือ CoVs) คือ ตระกูลหนึ่งของไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร ลักษณะเด่นของไวรัสตระกูลนี้ คือ เป็นไวรัสที่มีสารพันธุกรรมชนิด RNA มีเปลือกหุ้มด้านนอกที่ประกอบด้วยโปรตีน และล้อมรอบด้วยปุ่มหนามที่เกิดจากกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ดูคล้าย ‘มงกุฎ’ จึงถูกตั้งชื่อว่า Coronavirus โดยมากแล้วมักพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสัตว์ แต่ก็มีไวรัสโคโรนาที่พบการติดเชื้อและก่อโรคในมนุษย์ (Human coronaviruses) อยู่มากกว่า 30 สายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกคร่าวๆ ได้ 2 กลุ่ม ดังนี้

1. สายพันธุ์ที่ก่อโรคไม่รุนแรง  เช่น HCoV-229E, HCoV-OC43, HCoV-NL63, และ HCoV-HKU1 เป็น 4 สายพันธุ์หลักที่มักก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจที่ไม่รุนแรง มักเป็นเพียงไข้หวัดทั่วไป (Common Cold) โดยมีการพบว่าไวรัส 4 สายพันธุ์นี้เป็นสาเหตุให้เกิดไข้หวัดราว 30% ของผู้ป่วยทั้งหมดและถึงแม้จะพบได้น้อย แต่ไวรัส 4 สายพันธุ์ดังกล่าวอาจก่อโรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่มีอาการรุนแรงได้เช่นกัน เช่น ปอดอักเสบ (Pneumonia) และโรคหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) โดยมักพบการติดเชื้ออื่นๆ ในระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย รวมถึงอาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง นอกจากนี้ ไวรัส HCoV-OC43 ยังอาจกลายพันธุ์จนทำให้เกิดการติดเชื้อในสมองได้อีกด้วย

2. สายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรง ตัวอย่างเชื้อไวรัส เช่น

  • SARS-CoV ทำให้เกิดโรคซาร์ส หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ซึ่งเคยระบาดในประเทศจีนและฮ่องกง ช่วงปี 2002-2003
  • MERS-CoV ทำให้เกิดโรคโรคเมอร์ส หรือโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง ซึ่งพบการระบาดมากในช่วงปี 2012-2013
  • SARS-CoV-2 เป็นสายพันธุ์ล่าสุดที่เพิ่งค้นพบในปี 2019 และทำให้เกิดโรคโควิด-19

ปัจจุบัน ไวรัส SARS-CoV-2 มี Variant ใหม่ๆ ที่ตรวจพบจำนวนมาก แต่ Variant ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดอยู่ในกลุ่ม ‘สายพันธุ์ที่น่ากังวล’ (Variants of Concern; VOC) มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ด้วยกัน ทั้งนี้ เพื่อลดการกล่าวโทษประเทศที่มีการตรวจพบเชื้อสายพันธุ์ใหม่ WHO จึงเปลี่ยนชื่อสายพันธุ์เหล่านี้เป็นอักษรกรีก ได้แก่

  • COVID-19 สายพันธุ์ Alpha (สายพันธุ์อังกฤษ)
    ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ B.1.1.7 ชื่อใหม่คือ สายพันธุ์อัลฟ่า มีคุณสมบัติเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด และแพร่กระจายเชื้อง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น 40-70% พบครั้งแรกที่สหราชอาณาจักร ในเดือนธันวาคม ปี 2020
  • COVID-19 สายพันธุ์ Delta (สายพันธุ์อินเดีย)
    ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ B.1.617.2 ชื่อใหม่คือ สายพันธุ์เดลต้า มีคุณสมบัติแพร่เชื้อง่าย ระบาดเร็ว และเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดี พบครั้งแรกในประเทศอินเดีย ในเดือนธันวาคม 2020
  • COVID-19 สายพันธุ์ Beta (สายพันธุ์แอฟริกาใต้)
    ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ B.1.351 ชื่อใหม่คือ สายพันธุ์เบต้า มีคุณสมบัติลดประสิทธิภาพแอนติบอดี้ ระบาดเร็วและแพร่เชื้อไวขึ้นประมาณ 50% พบครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ ในเดือนธันวาคม ปี 2020
  • COVID-19 สายพันธุ์ Gamma (สายพันธุ์บราซิล)
    ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ P.1 ชื่อใหม่คือ สายพันธุ์แกมม่า เป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น มีคุณสมบัติเลี่ยงภูมิคุ้มกันและลดประสิทธิภาพวัคซีน ตรวจพบจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศบราซิล ระหว่างการตรวจคัดกรองภายในสนามบินที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อต้นเดือนมกราคม ปี 2021

วิธีสังเกตอาการ

หากได้รับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการออกมาภายใน 1 วัน ถึง 2 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ โดยอาการเริ่มแรกของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการมีไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจหอบเหนื่อย ถ่ายเหลวท้องเสีย หากผู้ป่วยมีร่างกายไม่แข็งแรงหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ จะทำให้มีความรุนแรงถึงขั้นวิกฤตและเสียชีวิตได้

วิธีป้องกัน